WELCOME TO BLOG นางสาวฉัตฑริกา สุขกระโทก

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์


          คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประมวลผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข รูปภาพ ตัวอักษร และเสียง 


ส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์

• คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ หมายถึง ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ 
     แบ่งออกเป็น  5  ส่วนคือ      
      ส่วนที 1 หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input Unit)                 
             - เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อ ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบ เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการ ได้แก่           
             - แป้นอักขระ (Keyboard)         
             - แผ่นซีดี (CD-Rom)              
             - ไมโครโฟน (Microphone) เป็นต้น
     ส่วนที 2 หน่วยประมวลผลกลาง   (Central Processing Unit)  ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ             
     ส่วนที่ 3 หน่วยความจำ  (Memory Unit)  ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จาการประมวลผลแล้วเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล
     ส่วนที่ 4  หน่วยแสดงผล  (Output Unit)  ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว
    ส่วนที่ 5  อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ   (Peripheral Equipment) เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น โมเด็ม (modem) แผงวงจรเชื่อมต่อ เครือข่าย เป็นต้น



ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

1. มีความเร็วในการทำงานสูง สามารถประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็วเพียงชั่ววินาที จึงใช้ในงานคำนวณ   ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว 
2. มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ทำงานได้ตลอด 24 ชั่งโมง ใช้แทนกำลังคนได้มาก
3. มีความถูกต้องแม่นยำ ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4. เก็บข้อมูลได้มาก ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร
5. สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ช่วย    อำนวยความสะดวกในการใช้งาน



ระบบคอมพิวเตอร์

     ระบบคอมพิวเตอร์ หมายถึง กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆ กับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด เช่น ระบบเสียภาษี  ระบบทะเบียนราษฎร์  ระบบทะเบียนการค้า  ระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล เป็นต้น
      การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ 
          ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน ดังนี้                  1.ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หรือส่วนเครื่อง          
 2.ซอฟแวร์ (Software) หรือส่วนชุดคำสั่ง        
 3.ข้อมูล (Data)       
 4.บุคลากร (Peopleware)ฮาร์ดแวร์ (Hardware)  หมายถึง ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆที่เรา

สามารถสัมผัสและจับต้องได้  ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน ดังนี้คือ 
    1.ส่วนประมวลผล (Processor)  
    2.ส่วนความจำ (Memory)    
    3.อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก (Input-Output Devices)    
    4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล (Storage Device)

ส่วนที่1 CPU 
      CPU เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง    มีหน้าที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประมวนผลและเปรียบเทียบข้อมูล โดยทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบและแปลงให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ความสามารถของ ซีพียู นั้น พิจารณาจากความเร็วของการทำงาน การรับส่งข้อมูล อ่านและเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ ความเร็วของซีพียูขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า สัญญาณนาฬิกา เป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน 1 วินาที มีหน่วยเป็น เฮิร์ตซ์(Hertz)เช่น สัญญาณความเร็ว 1 ล้านรอบใน 1 วินาที เทียบเท่าความเร็วสัญญาณนาฬิกา 1 จิกะเฮิร์ตซ์ (1GHz)


ส่วนที่2 หน่วยความจำ (Memory)
      
จำแนกออกเป็น  2 ประเภท ดังนี้            
  1. หน่วยความจำหลัก (Main Memory)           
  2. หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)


1. หน่วยความจำหลัก (Main Memory)    เป็นหน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย ชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถนำออกมาใช้ในการประมวลผลภายหลัง โดยCPUทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและนำออกจากหน่วยความจำ

1. หน่วยความจำหลัก (Main Memory) ต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์ ต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานประมวลผล และเก็บข้อมูล ขนาดของความจุของหน่วยความจำ คำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล จำนวนพื้นที่คือ จำนวนข้อมูล และขนาดของโปรแกรมที่สามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุด พื้นที่หน่วยความจำมีมากจะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้น

หน่วยประมวลผลกลาง (CPU)หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU  มีความหมาย


ทางด้านฮาร์ดแวร์ 2 อย่าง คือ   
1ชิป (chip) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์    
2. ตัวกล่องเครื่องที่มี CPU บรรจุอยู่


1.หน่วยความจำหลัก       
    แบ่งได้ 2  ประเภทคือ 
       หน่วยความจำแบบ “แรม” (RAM)และหน่วยความจำแบบ”รอม”(ROM)  
    
    1.1 หน่วยความจำแบบ “แรม”(RAM=Random Access Memory)  เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่อง หรือไม่มีกระแสไฟฟ้าป้อนให้กับเครื่อง เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (Volatile Memory)

   
    1.2 หน่วยความจำแบบ “รอม” (ROM=Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นกับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร ยอมให้ซีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานอย่างเดียว ไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปเก็บไว้ได้โดยง่าย ส่วนใหญ่ใช้เก็บโปรแกรมควบคุม เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน (Nonvolatile Memory)หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory Unit)หน่วยความจำสำรอง  หรือหน่วยเก็บข้อมูลรอง เป็นหน่วยเก็บที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากปิดเครื่องคอมพิมเตอร์แล้ว   หน่วยความจำรองมีหน้าที่หลักคือ  1.ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต  2.ใช้ในการเก็บข้อมูล โปรแกรมไว้อย่างถาวร  3.ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง



ประโยชน์ของหน่วยความจำสำรอง 
      หน่วยความจำรองจะช่วยแก้ปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลผล เมื่อเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า อาจทำให้ข้อมูลสูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำรอง เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว้ใช้งานในครั้งต่อไป หน่วยความจำประเถทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลภายนอก เช่น ฮาร์ดดิสก์ แผ่นบันทึก ชิปดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดี เทปแม่เหล็ก หน่วยความจำแบบแฟลช หน่วยความจำรองนี้ ถึงจะไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ   

ส่วนแสดงผลข้อมูล
     ส่วนแสดงผลข้อมูล   คือส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้  อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูลได้แก่  จอภาพ (Monitor) เครื่องพิมพ์( Printer)เครื่องพิมพ์ภาพ Ploter และ ลำโพง (Speaker)  เป็นต้น 

บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE)    
      บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียว หรือ หลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของ หน่วยงานคอมพิวเตอร์  


ประเภทของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE)   
1. ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน   
2. ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม   
3. ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ  


บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์  
1. หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ (EDP Manager)  
2. หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน (System Analyst หรือ SA)  
3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)  
4. ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer Operator)  
5. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล (Data Entry Operator)


นักวิเคราะห์ระบบงาน       
     ทำการศึกษาระบบงานเดิม ออกแบบระบบงานใหม่            


โปรแกรมเมอร์                     
    นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว้มาสร้างเป็นโปรแกรม                    


วิศวกรระบบ                      
    ทำหน้าที่ออกแบบ สร้าง ซ่อมบำรุง และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามต้องการ                    


พนักงานปฏิบัติการ                      
     ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือภารกิจประจำวัน ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์อาจแบ่งประเภทของบุคลากรคอมพิวเตอร์ เป็นระดับต่างๆได้ 4 ระดับดังนี้


    1. ผู้จัดการระบบ (System Manager)   คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน

    2. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)    คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน

    3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)  คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบได้เขียนไว้

    4. ผู้ใช้ (User)  คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

งานที่ได้รับมอบหมาย (Assignment 2)

Search Engine คืออะไร


    เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป


สัดส่วนของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก นิตยสารฟอรบส์ ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548)
    1. กูเกิล (Google) 36.9%
    2. ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search) 30.4%
    3. เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) 15.7%


นอกจากด้านบน เว็บอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่
- เอโอแอล (AOL Search)
- อาส์ก (Ask)
- เอ 9 (A9)
- ไป่ตู้ (Baidu, 百度) เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของประเทศจีน


ประโยชน์ของ Search Engine


1. ค้นหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว
2. สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข่าว, MP3 และอื่นๆ อีกมากมาย
3. สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ที่มีการจัดทำไว้ เช่น download.com เว็บไซต์ ์เกี่ยวกับข้อมูล และซอร์ฟแวร์ เป็นต้น 
4. มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมูล 
5. รองรับการค้นหา ภาษาไทย
         ในโลกยุคอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันนี้มีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูล จำนวนมากมาย อย่างนี้เราไม่อาจจะคลิก เพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จำเป็นจะต้องอาศัย การค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหา ที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อ ความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูล มีมากมายหลายทั้งที่เป็นของคนไทย และต่างประเทศ ความหมาย/ประเภท ของ Search Engine การค้นหาข้อมูลบน เครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก 
        ถ้าเราเปิดไป ทีละหน้าจออาจจะต้องเสีย เวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบการที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็ว จะต้องใช้ เว็บไซต์สำหรับการ ค้นหาข้อมูล ที่เรียกว่า Search Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ผู้ใช้ งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำ หรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่ กำหนด Search Engine แต่ละ แห่งมีวิธีการ และการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภท ของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวม ข้อมูล 
        ดังนั้น การที่จะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อย จะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่เข้าไปใช้บริการ ใช้ วิธีการหรือ ประเภทของSearch Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป การเลือก ใช้เครื่องมือในการค้นหาจะต้องเข้าใจว่า ข้อมูล ที่ต้องการค้นหานั้นมีลักษณะอย่างไร มีขอบข่ายกว้างขวาง หรือแคบขนาดไหน แล้ว จึงเลือกใช้เว็บไซต์ค้นหาที่ให้บริการตรงกับ ความต้องการของเรา
        เครื่องมือที่ช่วยในการค้นหา (Search Engine) มี ประโยชน์อย่างมากต่อผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วไป เนื่องจากข้อมูลข่าวสารบนโลกอินเตอร์เน็ตมีมากมายมหาศาล และเมื่อผู้ใช้ต้องการข้อมูลสารสนเทศใดๆ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยในการค้นหา เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศที่ผู้ใช้งานต้องการ หรือสรุปได้ดังนี้
• ค้นหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว 
• สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข่าว, MP3 และอื่นๆ อีกมากมาย 
• สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ที่มีการจัดทำไว้ เช่น download.com เว็บไซต์เกี่ยวกับ ข้อมูลและซอร์ฟแวร์ เป็นต้น 
• มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมูล 
• รองรับการค้นหา ภาษาไทย  นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาใน รูปแบบของ Search Bar ที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องเข้าผ่านเว็บไซต์ Search Engine เหล่านั้นโดยตรงแล้ว ตัวอย่าง  Search Bar ที่ขอแนะนำ เช่น Google Search Bar, Yahoo Search Bar เป็นต้น



การทำงานของ Search Engine
     Search Engine แต่ละประเภทจะมีการทำงานที่คล้าย ๆ กันนั่นคือ การส่ง Web Crawler หรือSpider ไปเก็บข้อมูลเว็บไซต์ต่าง ๆ เข้ามาเก็บไว้ในระบบ เพื่อจัดทำเป็นดัชนี (Indexing) การค้นหา และเมื่อผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine ตัวโปรแกรม Search Engine ก็จะทำการประมวลผลด้วยอัลกอลิทึมการจัดอันดับ (Ranking) และนำผลลัพท์จากข้อมูลที่มีอยู่ออกมาแสดงผลให้ผู้ใช้งานได้เห็น
Search Engine ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันผู้ใช้งานในประเทศไทยจะใช้งาน Google Search Engine ซึ่งคิดเป็น % แล้วมากถึง 95% เลยทีเดียว เนื่องด้วยคุณภาพ ความเร็วในการค้นหา และลูกเล่นอื่น ๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการทำ SEO ก็ควรที่จะศึกษาการทำงานของ Google เพื่อที่จะทำให้อันดับการค้นหาของเว็บไซต์ตัวเองอยู่ในอันดับต้น ๆ ได้นั่นเอง ไทยมีบอร์ด กับ Search Engineไทยมีบอร์ดขับเคลื่อนโดย SMF ซึ่งในเรื่องของ SEO นั้นถือว่ามีโครงสร้างทาง On Page ที่ดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผู้ใช้งานที่ใช้บริการเว็บบอร์ดของไทยมีบอร์ดไม่จำเป็นที่จะต้องปรับแต่งโครงสร้างใด ๆ ของเว็บบอร์ดเลย เพียงแต่ต้องทำ Off Page ใน Keyword และหน้าที่ต้องการโดยการหา Backlink เข้าสู่เว็บไซต์ เพื่อที่จะทำให้อันดับการค้นหาอยู่ในอันดับต้น ๆ ได้ เพราะว่าเมื่อผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลต่าง ๆ แล้วเห็นเว็บไซต์ของเราอยู่ในอันดับต้น ๆ ผู้ใช้งานก็ย่อมที่จะคลิกสู่เว็บไซต์เราเป็นแน่ เพียงแค่นี้ก็จะได้คนเข้าเว็บ (Traffic) กันแล้ว Search Engine มี Google, Yahoo, Bing, Ask, Wikipedia, Answers เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ


 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
      -  รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน
      -  พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
      -  การประยุกต์ใข้่เทคโนดฯลีสารสนเทศกับการเรียนการสอน

รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน
    เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 6 รูปแบบ ดังต่อไปนี้ คือ

1. เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ , กล้องดิจิตอล , กล้องถ่ายภาพวีดีทัศน์, เครื่องเอ็กซ์เรย์

       2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลเป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น เทผแม่เหล็ก,จานแม่เหล็ก,จานแสงหรือแสงเลเซอร์,บัตรเอทีเอ็ม
       3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์
4. เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องพิมพื,จอภาพ,พลอตเตอร์ ฯลฯ
5. ทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร,เครื่องถ่าย
6. เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูลได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่างๆ เช่น โทรทัศน์,วิทยุกระจายเสียง,โทรเลข,เทเล็กซ์,และระบบเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และระยะไกล

ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
 
มีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในทางธุรกิจและทางการศึกษา ดังตัวอย่าง เช่น
- ระบบเอทีเอ็ม
- การบริการและการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต
- การลงทะเบียนเรียน



พฤติกรรมการใช้่เทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร
การแสดงออกทางความคิดและความรู้สุกในการใช้รูปแบบของเทคโนโลยีทุกประเภท ที่นำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการจัดหา จัดเก็บ สร้าง และเผยแพร่สารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ ภาพ,ข้อความ หรือตัวอักษร ตัวเลขและภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น


การใช้อินเทอร์เน็ต
งานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาพบว่า
นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อความบันเทิง เนื่องจากเห็นว่ามีความสะดวก ในการติดต่อสือสารกับผู้อื่น ในขณะที่การใช้อินเทอร์เน็ตของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาส่วนใหญ่ใช้เพื่อการเรียนรู้ การติดตามข่าวสาร ของสถานศึกษา



ใช้อินเทอร์เน็ต ทำอะไรได้บ้าง?
งานวิจัยชี้ว่า นักศึกษาใช้อินเทอร์เน็ต ในการสนทนา กับเพื่อนๆ และการค้น


พฤติกรรมการใช้่เทคโนโลยีสารสนเทศ
 นอกจากนี้งานวิจัยยังชี้ว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศรูปแบบส่วนต่างๆ เพื่อจะเพิ่มพูนความรู้ และประกอบการทำราายงาน



สถานที่ที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
งานวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้าน และมีการใช้อินเทอร์เน็ตที่ห้องสมุดของสถาบัน


นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการใช้หรือมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศน้อย ในรูปแบบไหนบ้าง?

งานวิจัยชี้ว่า นักศึกษามีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเหล่านี้น้อย ได้แก่ ฐานข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ E-Learning วิดีทัศน์ตามอัธยาศัย (Video onDemand) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน


การประยุกต์ใช้เทคโนโลียสารสนเทศกับการเรียนการสอน
- การเรีียนรู้แบบออนไลน์ (e-Learning)
- บทเรียนคอมิวเตอร์ข่วยสอน Computer Assisted Instruction - CAI) หรือ (computer Aided In
- วิสัยทัศน์ตามอัธยาศัย (Vidoed on Demand - VDO)
- หนังสืออิเล็กทรอกนิกส์ (e-Books)
- ห้องสมุดอิเดล็กทรอกนิกส์ (e-Learning)

การเรียนรู้แบบออนไลน์ (e-Learning)

ป็นการศีกษา เรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ( Internet ) หรือ อินทราเน็ต tranet ) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดืโอและมัลติมีเดียอื่นๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรืยนผ่านเว็บบราวเซอร์ ( Web Browser ) โดยผู้เรียนผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อปรึกษา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้ เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติโดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสารมี่ทันสมัยสำหรับทุกคน โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ( Learning for all : anyone , anywhere and anytime )


บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( Computer Assisted Intruction - CAI ) 
      คือบทเรียนคอมพิวเตอร์ซึ่นำเสนอสารสนเทศที่ได้ผ่านกระบวนการสร้างและพิจรณามาเป็นอย่างดี โดยมีเนื้อหาวิชาหรือสารสนเทศ แบบฝึกหัด การทดสอบและการให้ข้อมูลป้อนกลับให้ผู้เรียนได้ตอบสนองต่อบทเรียนได้ตามระดับความสามารถของตนเอง เนื้อหาวิชาที่นำเสนอจะอยู่ในรูปมัลติมีเดีย ซึ่งประกอบด้วย อักษร รูปภาพ เสียง หรือ ทั้งภาพทั้งเสียง ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการนำหลักการเบื้องต้นทางจิตวิทยาการเรียนรู้มาใช้ในการออกแบบโดยอาศัยพฤติกรรมการเรียนรู้(Learning Behavior) ทฤษฎี การเสริมแรง (Reinforcemment Theory) ทฤษฎีการวางเงือนไขปฎิบัติ (Operant Conditioning Theory) ซึ่งถือว่า
ความสัมพันธืระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองแลบะการเสริมแรงเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีจุดมุ่งหมายนำผู้เรียน 
ไปสู่การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาศัยการเรียนที่มีการวางโปรแกรมไว้ล่วงหน้า เป็นการให้ผู้เรียนมี
โอกาสเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และมีผลย้อนกลับทันที และเรียนรู้ไปทีละขั้นตอนอย่างเหม่าะสมตามความ
ต้องการและความสามารถของตนเอง

วิสัยทัศน์ตามอัธยาศัย (Vidoed on Demand - VDO)

คือ ระบบการเรียนดูภาพยนต์ตามสิ่งที่จะอำนวยความสะอาดให้ผู้ใช้งานสามารถเลือก ดูภาพยนตร์หรือข้อมูลภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงได้ตามต้องการ ตามสโลแกนที่ว่า “To view what one wants, when one wants” โดยสามารถใช้งานนี้ได้จากเครือข่ายสื่อสาร (Telecommunications Networds) ผู้ใช้งาน ซึ่งอยู่หน้าเครื่องลูกข่าย (Video Client) สามารถเรียกดูข้อมูลที่เป็นภาพเคลื่อนไหวได้ทุกเมื่อตามต้องการและสามารถควบคุมข้อมูบวิดีโอนั้นๆ โดยสามารถย้อนกลับ (Rewind)หรือกรอไปข้างหน้า (Forward) หรือหยุดชั่วคราว (pause)ได้เปรียบเสมือนการดูวิดีโอที่บ้านนั่นเองทั่งนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายไม่จำเป็นต้องดูข้อมูลเดียวกันกล่าวคือสามารถดูภาพยนตร์เรื่องเดียวกันหรือต่างกันก็ได้

หนังสืออิเล็กทรอกนิกส์ (e-Books) คือ หนังสืออิเล็กทรอกนิกส์ที่สามารถอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ต โดยมีเครื่องมือที่จำเป็นการอ่านหนังสือประเภทนี้คือ ฮาร์แวร์ ประเภทเครื่องมือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอกนิกส์พกพาอืนๆ พร้อมทั้งติดตั้งระบบปฏิบัติการหรือซอตฟต์แวร์ที่ใช้อ่านข้อความต่างๆ ตัวอย่างเช่น ออร์แกนไนเซอร์แบบพกพา พีดีเอ เป็นต้น ส่วนการดึงข้อมููล e-Books ซึ่งจะอยู่บนเว็บไซต์ที่ให้บริการทางด้านนี้มาอ่านก็จะใช้วิธัีกหารดาวน์โหลดผ่านทางอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะ ไฟล์ของ e-Books หากนักเขียนหรือสำนักงานพิมพ์ต้องการสร้าง e-Books จะสามารถเลือกได้ 4 แบบ Hyyper Text Markup Language (HTML) , portable Document Format (PDF) ,Peanut Markup Language (PML) และ Extensive Markup Language(XML)


ห้องสมุดอิเล็กทรอกนิกส์ (e-Learning)
เป็นอหล่งความรู้ทึี่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์หรือผ่าน เครื่อข่ายอินเทอร์เน็ต

คุณลักษณะทึี่สำคัญของห้องสมุดอิเล็กทรอกนิกส์มีดังนี้ คือ
1. การจัดการทรัพยกรสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์
2. ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศโดยทางอิเล็กทรอนิกส์
3. บรรณารักษ์หรือบุคคลากรของห้องสมุดและสามารถแทรกการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับห้องสมุดได้เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้ โดยทางอิเล็กทรอนิดส์
4. ความสามารถในการจัดเก็บ รวบรวมและนำส่งสารสนเทศ สู่ผู้ใช้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความหมายของสารสนเทศ

 สารสนเทศ     
      ความหมายของสารสนเทศ            
               สารสนเทศ  หมายถึง ข่าวสารที่สำคัญ เป็นระบบข่าวสารที่กำหนดขึ้น และจัดทำขึ้นภายในองค์การต่างๆ ตามความต้องการของเจ้าของหรือผู้บริหารองค์การนั้นๆ

    
>> สารสนเทศ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Information หมายถึง  ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า  สารสนเทศเป็นความรู้และข่าวสารที่สำคัญที่มีลักษณะพิเศษ  ทั้งในด้านการได้มากและประโยชน์ในการนำไปใช้ปฏิบัติ

>>  สารสนเทศ  มีความหมายตามที่ได้มีการให้คำจำกัดความที่ใหล้เคียงกัน  ดังนี้


>>  สารสนเทศ  หมายถึง  ข้อมูลทั้งด้านปริมาณและด้านคุณภาพที่ประมาณจัดหมวดหมู่เปรีบยเทีบย  และวิเคราะห์แล้วสามารถนำมาใช้ได้  หรือนำมาประกอบการพิจารณาได้สะดวกกว่าและง่ายกว่า


>>  เทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร
      เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที (IT) หรือ Communication เป็น
เทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อสังคมในปัจจุบันมีความเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ  การประมวณผลและการแสดงผลสารสนเทศ


>>  องค์ประกอบหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศ     
     เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์  และ  เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม Telecommunication   Technology

  
    1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์    คอมพิวเตอร์  จัดเป็นเทคโนโลยีหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน  เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งด้านการบันทึก  การจัดเก็บ  การประมวลผล  การแสดงผล  และการสืบค้นหาข้อมูลสารสนเทศเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์แบ่งเป็นเทคโนโลยีย่อยที่สำคัญได้ 2  ส่วน คือเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยีซอฟต์แวร์  
        1.1 เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์  หมายถึง อุปกรณ์ทุกชนิดที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์  อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงเพื่อเชื่อมโยงจำแนกตามหน้าที่การทำงานออกเป็น  4  ส่วนคือ   1. หน่วยรับข้อมูล   2. หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู : CPU (Central Processing Unit)   3. หน่วยแสดงผลข้อมูล (Output  Unit)   4. หน่วยความจำสำรอง  (Secondary Storage Unit)  
1.2 เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ



ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ    
 
1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) หรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทำงานตามคำสั่่ง  
   2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือชุดคำสั่งที่ผู้ใช้สั่งเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ

  

    2.  เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม  หมายถึง  เทคโนโลยีที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันทั่วไปเช่น  ระบบโทรศัพท์  ระบบดาวเทียม  ระบบเครือข่ายเคเบิล  และระบบสื่อสารอื่นๆ ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน 



>> ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ   
       - แผนพัฒนาเศรษฐ์กิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่4 (2520-2524) การมีส่วนร่วมของสารสนเทศเพื่อการศึกษา มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานและปฏิบัติการของระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษาขึ้น
       - ในแผนพัฒนาเศรษฐ์กิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ก็ได้มีการเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษามากขึ้น  
      - ในแผนฯ 9 มีการจัดทำแผนหลักเพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการศึกษา
   -  แผนพัฒนาฯข้างต้นทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อวงการศึกษาของประเทศไทยมากขึ้น จะทำให้การศึกษาของชาติมีความเท่าเทียม ทั่วถึง มีคุณภาพ และมีความต่อเนื่อง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างคุ้มค่า




>> พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา

    
     ยุคที่ 1 การประมวลผลข้อมูล) มีวัตถุประสงค์เพื่อการคำนวณและการประมวลผลข้อมูลของรายการประจำ (Transaction Processing) เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลาก     
     ยุคที่ 2 ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ  มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุม ดำเนินการ ติดตามผลและวิเคราะห์ผลงานของผู้บริหารระดับต่าง ๆ    
     ยุคที่ 3 การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ มีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเรียกใช้สารสนเทศที่จะช่วยในการตัดสินใจนำหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ   
     ยุคที่ 4 ยุคปัจจุบัน หรือยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ  มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดของการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ 



>> ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
     1.ให้ความรู้ ทำให้เกิดความคิดและความเข้าใจ
     2.ใช้ในการวางแผนการบริหารงาน
     3.ใช้ประกอบการตัดสินใจ
     4.ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
     5.เพื่อให้การบริหารงานมีระบบ


สรุป
        การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประโยชน์ในวงการศึกษามีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประเภทต่างๆ เช่น ดาวเทียมสื่อสาร ใยแก้วนำแสง อินเตอร์เน็ต ก่อให้เกิดระบบคอมพิวเตอร์สำหรับบริหารงานในสถานศึกษาด้านต่างๆ เช่น ระบบบริหารจัดการห้องสมุด และระบบคอมพิวเตอร์เพื่อสนันสนุนการเรียนการสอน เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษายังช่วยให้เกิดการลดความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางการศึกษาการเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยี